ถ้าพูดถึงเด็กหัวดีนั้น เราจะนึกถึงเด็กแบบไหนกันคะเด็กที่สอบได้100คะแนนเต็ม เด็กที่ได้รางวัลเรียงความ หรือเด็กที่เป็นหัวหน้าชั้นเรียน สถานการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเด็กคนนั้นหัวดีจัง ฉลาดจัง มันก็มีหลากหลาย แต่ถ้าลองมาคิดว่าเราอยากจะเลี้ยงให้ลูกเราเป็นเด็กหัวดี โดยท้ายที่สุดแล้วมันคือ "การที่ลูกเราประสบความสำเร็จในสังคมไม่ใช่หรือ"
เด็กหัวดี เด็กฉลาดนั้น เป็นเด็กแบบไหนกัน??
ความหมายของคำว่าหัวดีของคนๆนึงก็คือ ความสามารถในการคิดแบบมีเหตุมีผล ความสามารถในการสื่อสาร เป็นต้น จะบอกว่ามันต้องเป็นความสามารถทางการศึกษาสิ ต้องเป็นเด็กเรียนเก่งสิ มันก็ถูกค่ะ แต่มากไปกว่านั้นต้องมีความสามารถในการคิดหรือการแก้ไขปัญหา ดังนั้นการเป็นที่ยอมรับในสังคม ก็คือคำว่าหัวดี ซึ่งมากกว่าคำว่าความสามารถทางการศึกษาดังนั้นวันนี้เราจะมาดู 8สิ่งที่บ้านที่มีเด็กหัวดีเค้าทำกัน1. เล่นให้มากกว่าเรียน เล่นตามอำเภอใจ
เด็กสมัยนี้นอกจากจะเรียนในโรงเรียนแล้วยังมีเรียนพิเศษอีก
จากข้อมูลการวิเคราะห์ของมหาวิทยาลัยเยอรมัน ถามผู้ใหญ่135คนว่าตอนคุณเป็นเด็กคุณทำอะไร ผลออกมาว่า แนวโน้มของผู้ใหญ่ที่ตอบว่า "เล่นตามอำเภอใจ" "เล่นในสิ่งที่ตัวเองชอบ" เป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากในสังคมมากกว่าผู้ใหญ่ที่ตอบว่า "เล่นภายในตารางเวลาที่กำหนด" นอกจากนี้ยังพบอีกว่าผู้ใหญ่พวกแรกนั้นมีความสามารถในการปรับตัวในสังคมสูง และยังสามารถปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมได้ดีอีกด้วย
จุดสำคัญก็คือ "การให้เด็กได้เล่น และเล่นอย่างอิสระ"
อย่างเช่น หลังจากลูกเลิกเรียนกลับมาบ้านตอนเย็นหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ถ้าพาลูกไปสวนสาธารณะ เค้าจะวิ่งไปหาสิ่งที่ตัวเองสนใจทันที คุณพ่อคุณแม่ก็แค่พาเค้าไปในที่ๆคุณพ่อคุณแม่คิดว่าปลอดภัยสำหรับลูกเรา และให้เค้าได้เล่นตามอำเภอใจของเค้าไปก็พอแล้วค่ะ
2.ห้ามบังคับลูก แต่สนับสนุนให้เค้าทำในสิ่งที่สนใจ
เวลาที่ลูกสนใจอะไรซักอย่าง พ่อแม่ต้องคอยสนับสนุน
เด็กนั้นเวลาที่เค้าสนใจหรือชอบอะไร ก็จะมุ่งสมาธิ ใช้ความคิดเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งตรงหน้า ถ้าเจอปัญหาก็จะพยายามหาคำตอบ ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า สมองของเค้าก็จะถูกฝึกฝน ความสามารถต่างๆ เช่นความคิดเป็นเหตุเป็นผล การคิดแก้ปัญหา หรือการฝึกสมาธิก็จะเพิ่มมากขึ้นจากประสบการณ์ต่างๆที่เด็กได้เจอ ดังนั้นก็ขอให้คุณพ่อคุณแม่หาประสบการณ์ที่หลากหลายมาสนับสนุนเค้าด้วยนะคะแต่ก็ไม่ใช้แค่ซัพพอร์ทเค้าเท่านั้นนะคะ แต่การทำด้วยกันไปกับเค้าก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันค่ะ สงสัยไปพร้อมกับเค้า "เอ ทำไมเป็นแบบนี้น้าา" "ทำแบบนี้จะดีกว่ามั๊ยน้า" เวลาที่แก้ไขปัญหาได้ก็ดีใจไปกับเค้า เด็กที่เห็นพ่อแม่ทำแบบนั้นแล้ว เค้าก็จะเรียนรู้วิธีคิดแบบนั้นมาด้วยเช่นกัน3.อย่าหวังพึ่งของเล่นเสริมพัฒนาการมากจนเกินไป
การให้เล่นด้วยการจินตนาการ เป็นกุญแจสำคัญสำหรับเด็กหัวดี
มีคุณพ่อคุณแม่หลายท่านที่เตรียมหาซื้อของเล่นให้ลูกตั้งแต่ลูกยังไม่คลอดเลยก็มี เพราะคิดว่าของเล่นนั้นสามารถเสริมพัฒนาการของเด็กได้มาก แต่มีนักวิจัยอเมริกาได้ทดลองนำเด็กอายุ3-5ขวบมา71คน แบ่งกลุ่มเป็น2กลุ่มคือ กลุ่มร้องเพลงและกลุ่มเล่นของเล่นที่มีวิธีเล่นอยู่แล้วเช่นการโยนบอลเป็นต้น ผลปรากฏว่ากลุ่มร้องเพลงสามารถทำแบบทดสอบเรื่องความสามารถการรับรู้ได้มากกว่ากลุ่มเด็กเล่นของเล่นการให้เด็กเล่นในสิ่งที่ไม่มีในโลกความเป็นจริง เช่น เล่นเป็นมังกร ยื่นแขนออกมากางปีกบินไปบนท้องฟ้า โดยคุณพ่อคุณแม่อุ้มเค้าให้ลอยบนอากาศหรือเอามือและเท้าของเรายันตัวเค้าลอยบนอากาศ แบบนี้ก็เป็นการฝึกจินตนาการให้หัวของเด็กได้เช่นกัน
แต่ที่กล่าวมาไม่ได้บอกว่าอย่าเอาของเล่นให้ลูกเล่นนะคะ การเล่นของเล่นก็ทำให้เด็กสนุกและสามารถพัฒนาการเด็กได้จริง ดังนั้นการจะทำให้เป็นเด็กหัวดีนั้น ก็ควรจะทำทั้งฝึกจินตนาการของเด็กด้วยของเล่นและการเล่นควบคู่กันไปนะคะ4.ขัดเกลาความสามารถในการคิดด้วยเกมส์
ฝึกการคิด การควบคุมอารมณ์และความรู้สึกผ่านการเล่นเกม
เด็กที่จะหัวดี จะฉลาดได้จะต้องฝึกฝนและเรียนรู้จากการคิด การฝึกให้เด็กใช้ความคิดนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น ประสบการณ์ที่ได้คิดจากหลายๆรูปแบบจะเป็นตัวที่ฝึกความสามารถของสมองให้มากยิ่งขึ้นคุณพ่อคุณแม่บางท่านอาจจะดีใจว่า ชั้นสบายละ ส่งโทรศัพท์มือถือให้ลูกเล่นเกมส์ก็ทำให้ลูกหัวดีขึ้นได้ ไม่ใช่นะคะ!! เกมส์ที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงวีดีโอเกมส์หรือเกมส์มือถือนะคะ แต่เป็นเกมส์ที่ต้องเล่นกับคนอื่นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นค่ะ อย่างเช่นการเล่นเกมไพ่หรือเล่นโอเทลโล่เป็นต้น การเล่นเกมส์ที่มีฝ่ายตรงข้ามจำเป็นต้องใช้กลยุทธในการเล่น แต่เด็กที่เพิ่งเริ่มเล่นไม่รู้กลยุทธ ก็ต้องแพ้เป็นเรื่องธรรมดา แต่การเล่นซ้ำไปซ้ำมาจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้และได้ฝึกคิดกลยุทธใหม่ๆ ทำให้สมองได้พัฒนา และสิ่งที่จะได้อีกอย่างก็คือการที่เด็กเล่นแล้วแพ้ จะทำให้เค้าเข้าใจความรู้สึกของการเป็นคนแพ้ ความเสียใจ ความเจ็บใจ และจะทำให้เค้าเข้าใจความรู้สึกของเด็กคนอื่นที่แพ้เค้า และเค้าจะสามารถควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้ 5.เลี้ยงแบบให้อิสระ อย่าไปมีส่วนร่วมมากเกินไป
ไม่ใช่อิสระแบบปล่อยทิ้งขว้าง แต่เป็นอิสระแบบที่พ่อแม่เตรียมสิ่งแวดล้อมที่ดีไว้ให้
การมีส่วนร่วมเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเด็ก ยิ่งคุณพ่อคุณแม่มีส่วนร่วมกับลูกมากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจความหมายของคำว่ามีส่วนร่วมให้ถูกต้องด้วยนะคะ การมีส่วนร่วมมากเกินไปคือ การพูดที่มากเกินไปซึ่งก็คือการออกคำสั่ง การทำที่มากเกินไปซึ่งก็คือการการยื่นมือเข้าไปช่วยทำทุกอย่างให้ และการคิดที่มากเกินไปซึ่งก็คือการยัดเยียดความคิดของพ่อแม่ให้ลูกคิดตาม
ยกตัวอย่างเช่น ห้องของลูกที่มีของเล่นกระจัดกระจายเต็มไปหมดก็อย่าเข้าไปเก็บกวาดให้ พอลูกของเราเห็นว่ามันรกเต็มห้องจนเล่นไม่ได้แล้ว เค้าก็จะเริ่มเก็บกวาดเองค่ะ หรืออย่างเช่น อยากให้ลูกอ่านหนังสือ แทนที่เราจะเอาหนังสือมาให้แล้วก็บอกว่า "อ่านหนังสือสิ" ก็พาลูกของเราไปห้องสมุด แล้วก็ปล่อยเค้าให้ไปหยิบหนังสือที่ตัวเองสนใจมาอ่านเอง
ดังนั้นการเลี้ยงแบบให้อิสระจึงไม่ใช่การเลี้ยงแบบอยากจะทำอะไรก็ทำไป ปล่อยให้ทำอะไรตามอำเภอใจไปเลย แต่เป็นการเลี้ยงโดยคุณพ่อคุณแม่เตรียมสิ่งแวดล้อมที่ดีให้เค้าได้มีอิสระในสิ่งแวดล้อมนั้นๆ จะทำให้เด็กได้เรียนรู้การพึ่งพาตนเองได้6.ห้ามพูดว่า "ไปอ่านหนังสือสิ"
ดีใจไปกับเค้าเวลาที่เค้าเข้าใจในสิ่งที่ไม่เข้าใจ ทำได้ในสิ่งที่ทำได้
วิธีพูดที่ว่า "ไป...สิ" เป็นการพูดแบบออกคำสั่งหรือพูดแบบดุด่า ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความเครียด และจะเกิดการต่อต้าน ยิ่งถ้าโดนพูดว่า"ไปอ่านหนังสือสิ"บ่อยๆเข้า ก็จะมีเด็กที่อยากจะหนีไกลๆจากคำนี้แต่ทำไม่ได้ ก็เลยทำเป็นแกล้งอ่านหนังสือไปซะ ซึ่งแน่นอนว่าก็ไม่ได้มีอะไรเข้าหัวเลย ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย
ถ้าอยากจะให้ลูกคิดที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง ต้องไม่ใช่การบังคับหรือสั่ง แต่มันคือการสนับสนุน นี่คือสิ่งสำคัญ ถ้าอยากให้ลูกอ่านหนังสือเรียน คุณพ่อคุณแม่ต้องอ่านหนังสือให้ลูกเห็นก่อน ให้ลูกได้เห็นตัวอย่างของท่าทางในการอ่านหนังสือก่อน แล้วลูกก็จะเรียนรู้ว่านี่คือการอ่านหนังสือ แล้วการอ่านหนังสือก็จะซึมไปในตัวของเค้าเอง และอีกอย่างก็คือการเตรียมสภาพแวดล้อมในการเรียนหนังสือให้ลูก เช่นเตรียมห้องเรียนหนังสือให้ เตรียมแผนการเรียนให้เป็นต้น ซึ่งเป็นการทำสภาพแวดล้อมให้ลูกของเรารู้สึกได้ด้วยตัวเองว่าอยากจะเรียนหนังสือขึ้นมา
เด็กที่ได้เรียนรู้อะไรไป เวลาที่เค้ารู้สึกได้ว่าเค้าได้ความรู้ใหม่ ดีใจที่ได้เข้าใจในสิ่งที่ไม่เข้าใจมาก่อน ประทับใจที่ทำได้ในสิ่งที่ทำไม่ได้มาก่อน จะทำให้เค้าเกิดความรู้สึกที่ว่า "อยากเรียนเพิ่มอีก" ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็ควรดีใจไปก็เค้าด้วยนะคะ เวลาที่เค้าดีใจว่าทำได้แล้ว
7.ประวัติการศึกษาของคุณพ่อคุณแม่มีผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ของลูก

ประวัติการศึกษาของพ่อแม่มีผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ของลูกจริงหรือ...?
หลายคนเคยสงสัยมั๊ยว่า ทำไมคนที่มีฐานะทางการเงินดีและมีการศึกษาสูง จึงมีลูกที่ฉลาดและเก่งที่ประสบความสำเร็จในสังคม ข้อนี้จะตอบคำถามได้ว่าทำไมในปี2018มีผลงานวิจัยของสถาบันวิจัยนโยบายการศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศญี่ปุ่นว่ารายได้และประวัติการศึกษาของพ่อแม่มีความเกี่ยวพันกันจริง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าครอบครัวที่มีฐานะทางการเงินที่สูงย่อมมีผลต่อความสามารถทางการศึกษาของลูกเพราะว่าสามารถที่จะมอบโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพสูงให้กับลูกได้ แล้วประวัติการศึกษาล่ะมีผลต่อความสามารถทางการศึกษาของลูกแค่ไหน
แน่นอนว่าพ่อแม่ที่มีการศึกษาสูง ย่อมต้องเลือกให้ลูกมีการศึกษาสูงเช่นกัน แต่สิ่งที่มีอิทธิพลกับความสามารถทางการศึกษาจริงๆแล้วนั้นไม่ใช่ประวัติการศึกษาของพ่อแม่ แต่มันคือประสบการณ์การศึกษา ประสบการณ์ที่ว่านั้นคือประสบการณ์ที่เราดีใจ ภูมิใจกับความรู้นั้นๆที่เราได้มันมา ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆว่า เราแก้โจทย์การบ้านเลขไม่ออก ปวดหัวกับมันแก้ไปแก้มาจนสุดท้ายแก้โจทย์ได้ "อ๋อ มันแก้แบบนี้นี่เอง เข้าใจละ" มันเป็นความรู้สึกภูมิใจที่ได้มาจากการเรียน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าประสบการณ์แบบนี้พ่อแม่มีหรือไม่มี
ถ้าพ่อแม่ที่มีประสบการณ์และเข้าใจความหมายของการเรียนจริงๆ ก็จะรู้วิธีพลิกแพลงที่จะทำให้ลูกของเราสนใจในการเรียนโดนที่ไม่ต้องบังคับให้ลูกเรียน ซึ่งต่างจากพ่อแม่ที่ไม่มีประสบการณ์และเข้าใจความหมายของการเรียนจริงๆ ก็จะบอกลูกได้แค่ว่า ตอนนี้ก็อดทนลำบากเรียนหนังสือไปเถอะลูก อนาคตจะได้สบาย ซึ่งเป็นการให้ความหมายของการเรียนเป็นสิ่งที่ลำบาก
ลองคิดดูสิคะว่าเด็กที่เรียนโดยอยากจะเรียนเอง กับเด็กที่เรียนโดยจำใจต้องเรียน มันจะได้ผลลัพธ์ที่ต่างกันมั๊ย8.เลี้ยงลูกต้องรู้จักคำว่ารอลูก
การที่พ่อแม่รู้จักการรอลูก เริ่มตั้งแต่ขณะที่ลูกยังเป็นทารก เป็นเรื่องสำคัญ
เด็กที่หัวดีนั้นจะมีอุปนิสัยและลักษณะเฉพาะที่เหมือนกันตั้งแต่ยังเป็นทารก คือเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่ใช้คำพูดที่เป็นการยอมรับในตัวเค้าเช่น เก่งจังเลย, ไม่เป็นไรหรอก, ทำได้แล้วนะ มากกว่าคำพูดที่เป็นการห้ามการกระทำใดๆของเค้า การชมหรือการยอมรับในตัวเด็กนั้น เป็นการทำให้เค้าเกิดความมั่นใจในตัวเองจากคำพูดที่สนับสนุนเค้า ทำให้เค้าสามารถที่จะคิดอะไรได้ด้วยตัวเองอีกสิ่งที่สำคัญในการเติบโตของเด็กก็คือการให้เค้าได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ให้เค้าได้พูดเองให้มากที่สุด พ่อแม่บางคนเห็นลูกทำอะไรช้าไม่ได้ดั่งใจ ก็มักจะอยากทำแทนให้ไปซะทั้งหมด แต่ตรงนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องอดทน การที่เด็กจะเติบโตได้นั้นความผิดพลาด ความล้มเหลวก็เป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นการ "รอ" จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการเลี้ยงลูกของพ่อแม่เด็กก็เปรียบเสมือนแก้วน้ำที่ไม่มีอะไรอยู่ข้างใน ถ้าพ่อแม่ใส่น้ำสะอาดลงไป น้ำแก้วนั้นก็จะเป็นน้ำที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้าใส่น้ำอัดลมลงไป น้ำแก้วนั้นก็จะเป็นน้ำที่มีรสชาติอร่อยแต่ก็มีโทษต่อร่างกาย และถ้าใส่น้ำเน่าลงไป น้ำแก้วนั้นก็จะเป็นน้ำที่เหม็นเน่าและมีอันตรายต่อร่างกาย ดังนั้นเด็กจะเติบโตเป็นเด็กที่ฉลาดทั้งทางปัญญาและทางอารมณ์และทำให้เค้าประสบความสำเร็จในสังคมได้นั้น ส่วนหลักขึ้นอยู่กับพ่อแม่และสภาพแวดล้อมที่เด็กเติบโตมา อยากจะให้ลูกของเราโตเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่แล้วล่ะค่ะ