นิสัยและความสามารถจะถูกกำหนดโดยการทำงานของสมองเป็นหลัก จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทำให้รู้ว่าวิธีการสร้างของโครงสร้างสมองมีผลต่อลักษณะเฉพาะบุคคล, ลักษณะนิสัย และความสามารถของคน การที่ผู้ใหญ่เล่นจ๊ะเอ๋หรือร้องเพลงให้เด็กฟัง สมองของเด็กจะตอบสนองมาก ซึ่งการได้รับการกระตุ้นจากภายนอกจะทำให้สมองของเด็กพัฒนา ดังนั้นลักษณะนิสัยและความสามารถของเด็กไม่ได้ถูกกำหนดจากปัจจัยทางพันธุกรรมอย่างเดียวเท่านั้น
ขยายความเป็นไปได้ของเด็กให้มากขึ้นไปอีกจากการวิธีการเลี้ยงภายใน3ขวบปีแรก
เพิ่มความเป็นได้ของเด็กจากสิ่งแวดล้อมในการเลี้ยง
เด็กที่ถูกเลี้ยงมาด้วยความรักจนถึง1ขวบ จะมีความสามารถในการอ่านความรู้สึกของอีกฝ่ายและความสามารถในการบอกความตั้งใจของตัวเองได้ ซึ่งจะทำให้เด็กมีความสามารถในการสื่อสารสูง แต่กลับกัน เด็กที่ถูกปล่อยทิ้งขว้างจะมีชั้นเปลือกสมองที่ใหญ่ที่สุดบาง(Cerebral neocortex, isocortex) ทำให้ความสามารถของภาษาไม่ได้ถูกพัฒนา
กล่าวคือสิ่งที่มีผลอย่างมากต่อความสามารถและนิสัยของเด็กนั้นไม่ใช่มีเพียงแค่ยีนที่มีมาตั้งแต่แรกเท่านั้น แต่ยังมีมาจากวีธีการเลี้ยงและสภาพแวดล้อมอีกด้วย
แต่คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเกิน3ขวบไปแล้วไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะถูกกำหนดภายในช่วงเวลานี้ แต่เป็นเพียงการกำหนดพื้นฐานของนิสัยและความสามารถเท่านั้น แน่นอนว่าหลังจาก3ขวบไปแล้วก็จะถูกสร้างขึ้นได้ตลอดเวลาและจะถูกอัพเดทไปเรื่อยๆ
แล้วเราจะสร้างพื้นฐานของนิสัยและความสามารถของลูกเราได้อย่างไร เราไปดู3ข้อนี้กันเลยค่ะ
ข้อสำคัญที่1 : พัฒนาความอยากรู้อยากเห็นให้เด็กด้วยการได้ทำในสิ่งที่อยากทำในตอนที่อยากทำ

คอยสนันสนุนลูกของเราเวลาที่เค้าทำสิ่งท้าทายใหม่ๆ
ถ้าคนรอบข้างเตรียมทุกอย่างไว้ให้ เตรียมสิ่งเร้าใหม่ๆให้หรือยื่นมือเข้าช่วยมากเกินไป เด็กจะเป็นอย่างไรคะ? เด็กก็จะชินกับการเป็นฝ่ายรับและก็จะเสียโอกาสที่อยากจะทำอะไรด้วยตัวเองเด็กนั้นอยากที่จะท้าทายกับการกระทำใหม่ๆด้วยตัวเอง ซึ่งการที่ผู้ใหญ่รอบๆข้างรับรู้ในสิ่งนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำก็คืออย่ายื่นมือเข้าไปช่วยในสิ่งที่เค้ากำลังทำ แต่แค่คอยระวังเรื่องการเสี่ยงอันตรายก็พอให้เค้าได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า สมองเค้าก็จะได้รับการกระตุ้นจากการขยับเคลื่่อนไหวตัว และถ้าเค้ารู้สึกได้ว่า"การเคลื่อนไหวตัวสนุกจัง!!" แล้วยิ่งถ้าได้รับคำชมหรือการสัมผัสตัวเค้าเวลาที่ทำสำเร็จ ร่างกายของเด็กจะหลั่งฮอร์โมนเซโรโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความสุข แล้วเค้าก็จะรู้สึกต่อไปอีกว่าอยากได้ความรู้สึกแบบนี้อีก ซึ่งถ้าสามารถทำไซเคิลซ้าๆแบบนี้ได้ ก็จะทำให้เด็กได้เรียนรู้ความสามารถใหม่ๆเพิ่มไปอีกเรื่อยๆความสามารถของฮอร์โมนเซโรโทนินอีกอย่างก็คือ ถ้าฮอร์โมนตัวนี้หลั่งออกมาอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้สมองเด็กเป็นสมองทนทานต่อความเครียดได้ดีอีกด้วย ีข้อสำคัญที่2 : เติมเต็มความต้องการชีวิตขั้นพื้นฐาน

การเติมเต็มความต้องการชีวิตขั้นพื้นฐานให้ลูกคือสิ่งที่พ่อแม่ต้องทำ
พื้นฐานทั้งหมดสำหรับเด็กคือการได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ได้รับการปกป้อง,ได้ความรัก,ได้สารอาหารทีเพียงพอหรือไม่ ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยหรือรู้สึกถึงอันตรายต่อชีวิต พลังงานก็ไม่สามารถที่จะนำไปใช้ในการพัฒนาร่างกายและความสามารถได้
การที่เด็กหิว การรู้สึกไม่สบายตัวจากก้นเปียก การที่ปล่อยไม่สนใจเวลาที่ร้องอยากให้กอดเวลาที่เกิดอาการกลัว หรือการปล่อยให้ร้องไห้จนเสียงแหบ ทั้งหลายนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ความต้องการพื้นฐานไม่ได้ถูกเติมเต็ม สำหรับเด็กแล้วถ้าเราได้เติมเต็มความต้องการชีวิตพื้นฐานแล้ว เค้าก็จะเริ่มพัฒนาการขั้นตอนไปได้
สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังก็คือการรับมือกับความต้องการที่เอาแต่ใจ คุณพ่อคุณแม่ต้องแยกว่าความต้องการของเด็กนั้นเป็นความต้องการเพื่อที่จะเติมเต็มสุขภาพกายและใจ หรือว่าเป็นความต้องการที่เอาแต่ใจ จริงๆแล้วการเติมเต็มทุกอย่างที่เค้าอยากได้ก็เป็นสิ่งที่ควรต้องคิดเหมือนกัน มีการวิจัยหนึ่งได้ผลว่าเด็กที่สามารถอดทนได้มีความสามารถทางการศึกษาที่สูงกว่าเด็กที่ไม่สามารถอดทนได้
ความเข้าใจที่ว่าก็เพราะเป็นเด็กก็เลยไม่สามารถที่จะอดทนได้นั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด แต่เป็นเพียงแค่เค้าไม่ได้เรียนรู้ที่จะอดทนกับความเอาแต่ใจของตัวเองเท่านั้น ถ้าเด็กได้เรียนรู้ถึงความอดทนจะทำให้เค้ารู้สึกมั่นใจในตัวเองและความอดทนก็จำเป็นสำหรับการควบคุมตัวเองในการตัดสินความผิดชอบชั่วดีด้วย ดังนั้นการที่จะสอนให้เด็กเรียนรู้การอดทนหรือไม่นั้น ก็อาจจะเป็นทางแยกสำคัญสำหรับอนาคตของเด็กก็เป็นได้นะคะข้อสำคัญที่3 : ยื่นมือเข้าไปช่วยเท่าที่จำเป็นในตอนที่จำเป็น
ให้เด็กเป็นคนบอกช่วงเวลาที่เหมาะสมกับเรา
คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นที่จะต้องนำให้เค้าทำตามเลยค่ะเพราะเด็กเค้าจะรู้ช่วงเวลาและลำดับขั้นตอนที่เหมาะสมของเค้าอยู่แล้ว ดังนั้นการปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจะดีที่สุด คุณพ่อคุณแม่ก็แค่คอยจับตาดูลูกให้ดีๆ ถ้าช่วงเวลาที่ดีนั้นมาถึง ก็คอยช่วยกระตุ้นเค้าก็พอค่ะ ยกตัวอย่างเช่น พอลูกเราอายุประมาณ3-4เดือน ถ้าเรารู้สึกว่าร่างกายเค้าเริ่มแข็งแรงมั่นคงแล้ว อย่าให้เค้านอนหงายแต่อย่างเดียว ให้จับเค้านอนคว่ำเพื่อที่เค้าจะได้ฝึกใช้กล้ามเนื้อทั้งตัวเพื่อที่จะยกหัว ยกแขนและขาได้ และก็เป็นการเตรียมความพร้อมกล้ามเนื้อที่จำเป็นสำหรับการคลานในอนาคตด้วยค่ะแต่ถึงแม้ว่าคุณพ่อคุณแม่อาจจะทำไม่ได้ตามช่วงเวลาที่คาดเอาไว้ก็ไม่ต้องกังวลใจไปนะคะ เพราะก็มีเด็กที่อยู่ดีๆก็ทำได้เองถึงแม้ว่าจะผ่านช่วงเวลาที่ควรจะต้องทำได้ก็มีค่ะ แต่การมอบสภาพแวดล้อมที่จำเป็นในช่วยเวลาที่เหมาะสมนั้น ก็เป็นสิ่งที่ต้องใส่ใจด้วยนะคะสุดท้ายนี้ การที่จะช่วยพัฒนาความสามารถของเด็กนั้น สิ่งสำคัญคือความเข้าใจและการช่วยเหลือของพ่อแม่และคนรอบๆข้าง การที่เราอยากจะช่วยเค้า ทำนู่นทำนี่ให้เค้าก็เป็นส่งที่เข้าใจได้ แต่ขอให้เชื่อในความสามารถในตัวเด็กและคอยเฝ้ามองเอาใจช่วยเค้าก็พอค่ะ